หนาวนี้ปลูกผักสวนครัวอะไรดี ขายง่าย อิ่มด้วย

มะเขือเทศ

หลายๆคนที่ไปจ่ายตลาดอาจจะรู้สึกว่าผักที่เคยซื้อทำไมราคาพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆกันนะ? ที่มันมีราคาสูงขึ้นนั่นก็เพราะมีปัจจัยหลายๆอย่างที่ทำให้ราคาเปลี่ยนแปลงไปนั่นเอง ทั้งเรื่องของที่ดินปลูกผัก หรือจะเป็นเรื่องของสภาพอากาศที่ไม่เป็นไปตามฤดูกาลจึงทำให้ผลผลิตออกมาได้ไม่ดีเท่าที่ควร ถ้าอย่างนั้นเรามาปลูกผักสวนครัวกินเองจะดีมั๊ย ทั้งยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย ได้กินผักสดๆปลอดสารเคมี แถมถ้าผลผลิตของเราออกมาดีและเยอะก็สามารถนำไปขายเอาเงินมาใช้จ่ายได้อีกต่างหาก ยิ่งหน้าหนาวแบบนี้ก็ทำให้หลายๆคนขี้เกียจออกบ้านไปจ่ายตลาด ถ้าอย่างนั้นเรามาปลูกผักสวนครัวในช่วงหน้าหนาวนี้กันเถอะ ซึ่งผักสวนครัวที่สามารถปลูกได้ในช่วงหน้าหนาวก็มีดังนี้

1. มะเขือเทศ

มะเขือเทศเป็นพืชผักสวนครัวที่เติบโตเร็วมากในช่วงปลายฝนต้นหนาวแบบนี้ ทั้งยังสามารถนำไปทำเมนูได้หลากหลายไม่ว่าจะเป็นต้ม แกง ผัด หรือจะทานสดๆก็มีประโยชน์มากมาย หากจะนำไปขายก็ทำเงินได้หลายบาทอยู่เหมือนกัน

วิธีการปลูก

มะเขือเทศเป็นพืชที่สามารถนำไปปลูกได้หลากหลายแบบทั้งปลูกในสวนหลังบ้าน, ปลูกแบบแขวน, ปลูกในถุง หรือจะปลูกแบบไฮโดรโปนิกส์ก็ได้ แต่ส่วนใหญ่จะนำไปปลูกในสวนหลังบ้านกัน ซึ่งวิธีการปลูกมะเขือเทศให้หาพื้นที่บริเวณที่มีแสงส่องตลอดทั้งวัน แล้วนำต้นกล้าอายุประมาณ 15 วันมาลงในแปลงปลูกแค่นี้เอง

การดูแล

หมั่นรดน้ำอยู่เสมอ และหมั่นใส่ปุ๋ยหรือสารชีวภาพ รวมถึงกำจัดวัชพืชบริเวณแปลงผักด้วย

2. กะหล่ำปลี

กะหล่ำปลีเป็นพืชผักสวนครัวที่คนนิยมกินกันเยอะ เพราะมีเนื้อกรอบ หวาน และนำไปทำอาหารได้หลายเมนู ทั้งยังเป็นผักสวนครัวที่มากไปด้วยสรรพคุณ ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรค บำรุงผิวพรรณ ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย และยังช่วยลดความเครียดอีกด้วย

วิธีการปลูก

อันดับแรกให้เตรียมดินก่อน โดยการเอาดินไปตากแดดประมาณ 5 – 7 วัน แล้วนำไปผสมกับปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก จากนั้นทำการขุดหลุมแล้วใส่เมล็ดลงไป พอเริ่มเป็นต้นกล้าก็ค่อยย้ายไปปลูกในกระถาง

การดูแล

ให้รดน้ำวันละ 1 – 2 ครั้งอย่างสม่ำเสมอ

3. ขึ้นฉ่าย

ขึ้นฉ่าย

ขึ้นฉ่ายมีลักษณะคล้ายกับผักชี แต่มีใบที่ใหญ่กว่าและมีกลิ่นฉุน นิยมนำมาปรุงอาหารที่ต้องการดับกลิ่นคาว หรือเพิ่มความหอมของน้ำซุป ทั้งยังเป็นผักสวนครัวที่ปลูกง่าย สรรพคุณทางยาก็มากด้วย ขึ้นฉ่ายไม่ชอบอากาศร้อนจัด จึงเหมาะมากในการปลูกในช่วงหน้าหนาวนี้

วิธีการปลูก

นำเมล็ดพันธุ์ไปแช่น้ำก่อน 1 คืน แล้วค่อยนำไปปลูกในภาชนะ โดยเว้นระยะห่างระหว่างเมล็ดอย่างน้อย 1 นิ้ว เริ่มจากใส่ปุ๋ยหมักผสมทรายลงไปในอัตราส่วน 1 ต่อ 1 แล้ววางเมล็ดลงไปก่อนจะกลบด้วยทรายอีกชั้นความหนาครึ่งนิ้ว และใช้สแฟ็กนั่ม มอสหรือผ้ากระสอบคลุมหน้าดินเอาไว้จนกว่าต้นอ่อนจะงอกขึ้นมา พร้อมกับนำไปวางไว้ในที่มีแสงสว่าง แต่ไม่โดนแดดโดยตรง

การดูแล

รดน้ำทั้งเช้าและเย็น แต่ระวังอย่าให้น้ำขังแฉะ เพราะจะทำให้ขึ้นฉ่ายมีเชื้อราเข้าทำลายได้

4. กระเทียม

กระเทียมเป็นพืชที่ปลูกได้ง่ายๆในสวนที่บ้าน เพราะเป็นพืชที่ขึ้นง่าย แม้จะมีพื้นที่ในการปลูกน้อยก็ไม่มีปัญหา ชอบอากาศเย็นและแสงแดดจัดๆ ยิ่งได้ปลูกในช่วงหน้าหนาวจะโตเร็วมาก ทั้งยังเป็นอาหารประจำบ้านที่อยู่คู่คนไทยมานาน ไม่ว่าจะทำเมนูไหนก็ตามล้วนแต่มีกระเทียมเป็นส่วนประกอบทั้งนั้น แถมสรรพคุณทางยาก็เยอะอีกด้วย

วิธีการปลูก

เริ่มแรกควรเพาะให้กลีบกระเทียมส่วนนอกงอกรากออกมาก่อน จากนั้นนำไปปักลงดิน โดยให้ส่วนรากอยู่ลึกลงไปในดินประมาณ 2 ใน 3 ส่วนของกลีบกระเทียม หลังปลูกให้คลุมด้วยฟางเพื่อควบคุมวัชพืช และเพื่อรักษาความชื้นให้หน้าดิน รวมถึงป้องกันความร้อนให้ต้นอ่อนของกระเทียมด้วย

การดูแล

หมั่นรดน้ำให้พอเพียง โดยให้รดน้ำทุกๆ 7 – 10 วันก็เพียงพอแล้ว

5. ผักบุ้ง

ผักบุ้งเป็นผักสวนครัวที่เหมาะกับการปลูกในช่วงหน้าหนาวนี้มาก และเป็นผักสวนครัวที่ปลูกง่ายมากๆ เพียงหยอดเมล็ดลงไป ไม่กี่วันก็เก็บกินได้แล้ว หากปลูกได้เยอะก็เก็บเอาไปขายได้อีก เพียงแค่หมั่นรดน้ำสม่ำเสมอ ผักบุ้งก็งอกงาม ใบเขียวน่ากินแล้ว

วิธีการปลูก

ก่อนอื่นให้แช่เมล็ดพันธุ์ผักบุ้งในน้ำ 6 ชั่วโมง แล้วนำมาผึ่งทิ้งไว้ 10 นาที จากนั้นโรยเมล็ดลงบนดิน ปิดคลุมเมล็ดที่เพาะให้มิด รดน้ำเป็นละอองฝอยวันละ 2 ครั้ง เช้า – เย็น เป็นเวลา 8 – 9 วัน โดยระวังไม่ให้ดินแฉะ หรือแห้งจนเกินไป เมื่ออายุครบ 5 วัน ให้เปิดวัสดุที่ปิดคลุมออกจะเห็นต้นอ่อนมีสีเหลือง พออายุครบ 6 วัน ให้นำออกมารับแสง เพื่อสร้างคลอโรฟิลล์ สร้างใบและยอดอ่อนสีเขียว, อายุ 9 – 10 วัน สามารถเก็บต้นอ่อนผักบุ้งไปบริโภคหรือจำหน่ายได้

การดูแล

รดน้ำทุกวันๆละ 1 – 2 ครั้ง แต่หากวันไหนฝนตกก็ไม่ต้องรดน้ำ สำคัญคืออย่าให้ผักบุ้งขาดน้ำเพราะจะทำให้ผักบุ้งขาดการเจริญเติบโต และไม่น่ากิน

6. ตำลึง

ตำลึง

ตำลึงมีคุณค่าทางโภชนาการสูง ประกอบด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด สามารถนำมาประกอบอาหารให้เด็กๆได้เพราะมีรสจืดและไม่มีกลิ่นฉุน นอกจากนี้ส่วนต่างๆของตำลึงยังใช้แก้โรคและอาการต่างๆได้ด้วย เช่น ลดไข้ แก้อาเจียน ท้องอืดท้องเฟ้อ รวมถึงใช้เป็นยาระบายด้วย

วิธีการปลูก

สามารถปลูกตำลึงโดยการเพาะเมล็ดหรือปักชำเถาแก่ในถุงก่อนจะย้ายลงดิน สภาพดินที่เหมาะสมสำหรับตำลึงคือดินร่วนที่สามารถระบายน้ำได้ดี การใช้ดินนั้นสามารถนำดินและทรายมาผสมกันในอัตราส่วน 1:1 หรือ 2 :1 และคลุกดินด้วยปุ๋ยอินทรีย์

การดูแล

หมั่นรดน้ำทุกวัน